เรซูเม่เปรียบเสมือนด่านแรกที่ช่วยให้ HR รู้จักตัวตนของเรา ดังนั้นการทำเรซูเม่ให้โดดเด่น ดูโปร และเหมาะกับสายงานจึงสำคัญมาก มาดูตัวอย่างเรซูเม่สมัครงานสำหรับแต่ละสาย
Key Takeaway
ตัวอย่างเรซูเม่สมัครงานแยกตามสายงานต่างๆ เช่น ครีเอทีพ คอนเทนต์ ภาษา การตลาด การบัญชี ไอที การบิน สายวิทย์ หรือจะเป็นสายช่าง สามารถเลือกตัวอย่างให้เหมาะกับงานที่สมัครได้เลย
สิ่งที่ควรทำ (Do) ในเรซูเม่สมัครงาน คือแบ่งแต่ละส่วนให้ชัดเจน ใช้คำที่เข้าใจง่าย ระบุทักษะที่เหมาะกับตำแหน่ง เช็กความถูกต้องหลายรอบ และเขียนให้กระชับ อ่านง่ายด้วย
สิ่งที่ไม่ควรทำ (Don’t) ในเรซูเม่สมัครงาน คือการใส่รูปภาพที่ไม่เหมาะสม ใช้อีเมลไม่สุภาพ ใส่ข้อมูลส่วนตัวเกินจำเป็น ระบุข้อมูลเท็จ และเขียนเหตุผลที่เปลี่ยนงาน
ก่อนจะส่งอีเมลสมัครงาน ควรเตรียมตัวเอง และเตรียมเอกสารต่างๆ ให้พร้อม ดังนี้
อีเมลที่เป็นทางการสำหรับการสมัครงานโดยเฉพาะ โดยใช้ชื่อจริง-นามสกุล หลีกเลี่ยงการใช้คำแสลงหรือชื่อเล่น เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการติดต่อสื่อสาร
ต้องเตรียมเอกสารสำคัญให้ครบถ้วนและสมบูรณ์ ได้แก่ Resume, CV, Portfolio และ Cover Letter โดยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและการจัดรูปแบบให้เรียบร้อย
ศึกษาและทำความเข้าใจรายละเอียดของตำแหน่งงานและข้อมูลบริษัทที่จะสมัครก่อน รวมถึงเตรียมเหตุผลที่ชัดเจนในการเลือกสมัครงานกับบริษัทนั้นๆ และนำเสนอจุดเด่นของตัวเองเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับพิจารณา
ส่วน ‘เกี่ยวกับตัวฉัน’ หรือส่วน About Me ในเรซูเม่เป็นส่วนที่สรุปเกี่ยวกับวิชาชีพ จุดเด่น และประสบการณ์ความสำเร็จในการทำงาน โดยต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ‘ทำไมบริษัทถึงควรจ้างคุณ?’ ประกอบไปด้วย 3 ส่วนสำคัญ ดังนี้
ตำแหน่งงานปัจจุบัน: เพื่อแสดงระดับประสบการณ์ทางวิชาชีพของคุณ
ทักษะและความสำเร็จ: โดยต้องเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร พร้อมยกตัวอย่างผลงานที่แสดงถึงจุดแข็งของคุณ
เป้าหมายในอาชีพ: ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อแสดงจุดประสงค์ของการสมัครงาน
สำหรับ Skill หลักๆ ที่ควรใส่ในเรซูเม่สมัครงาน มีดังนี้
ทักษะการสื่อสาร (Communication) เน้นการถ่ายทอดข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ผู้รับสารเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ และสร้างความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย
ทักษะการทำงานร่วมกัน (Collaboration) มีความสำคัญในการทำงานเป็นทีม โดยต้องรู้จักรับฟัง วิเคราะห์ และทำงานตามความถนัด เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ทักษะการตัดสินใจและการแก้ปัญหา (Decision Making and Problem Solving) เป็นความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางแก้ไขเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง
ทักษะการเจรจาต่อรอง (Negotiation) เป็นการสื่อสารสองทางเพื่อหาจุดลงตัวที่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย โดยใช้ตั้งแต่กระบวนการสมัครงานไปจนถึงการทำงานจริง
ทักษะการบริหารจัดการเวลา (Time Management) ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของงานหลายๆ อย่างที่มี Deadline แตกต่างกันให้สำเร็จตามกำหนด
ทักษะการปรับตัวและการเรียนรู้ (Adaptability & Active Learning) ช่วยให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การเขียน Career Summary หรือ Objective ในเรซูเม่ควรใช้ภาษาที่กระชับ ชัดเจน และเข้าใจง่าย โดยสรุปเป้าหมายในอาชีพและทักษะสำคัญให้อยู่ในความยาวประมาณ 2-3 บรรทัด ส่วนนี้มีความสำคัญเพราะช่วยให้ HR หรือ Hiring Manager เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าคุณมีประสบการณ์อะไร กำลังมองหางานแบบไหน และมีความหลงใหลในงานด้านใด ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการพิจารณาของทั้งสองฝ่าย